Previous Lesson -- Next Lesson
2. ยอห์นบัพติศตระเตรียมหนทางของพระคริสต์ (ยอห์น1:6-13)
ยอห์น 1:11-13
11 พระองค์ทรงเข้ามาในดินแดนของพระองค์เอง แต่คนของพระองค์เองไม่ยอมรับพระองค์ 12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า
คนของพระคัมภีร์เดิมนั้นเป็นของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าได้ผูกพันพระองค์ไว้กับคนบาปผ่านทางพันธสัญญาหลังจากที่ได้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ พระองค์ได้นำทางพวกเขาเป็นเวลากว่าร้อยปี และไถคราดหัวใจของเขาด้วยคันไถแห่งพระบัญญัติ แล้วได้เตรียมเขาไว้สำหรับการหว่านพระกิตติคุณ ด้วยวิถีทางนี้ ประวัติศาสตร์ของลูกหลานอับราฮัมได้ถูกนำไปสู่การเสด็จมาของพระคริสต์ การปรากฎของพระองค์เป็นเป้าหมายและความหมายของพระคัมภีร์เดิม
มันเป็นความจริงที่แปลกซึ่งผู้ที่ถูกเลือกไว้ให้ต้อนรับพระเจ้าพระเยซูได้ปฏิเสธพระองค์และไม่ยอมรับแสงสว่างนั้น พวกเขาชอบที่จะอยู่ในความมืดมิดของบัญญัติมากกว่า และเร่งรีบไปสู่การพิพากษา ดังนั้นพวกเขาจึงได้พลาดพระคุณอย่างสิ้นเชิง และด้วยการรักการงานของตนมากยิ่งกว่าความรอดในพระคริสต์ เขาไม่ได้สำนึกบาป แต่ได้ทำให้ตนเองแข็งกระด้าง พร้อมกับต่อต้านวิญญาณแห่งความจริง
ไม่ใช่คนของพระคัมภีร์เดิมเท่านั้นที่เป็นของพระเจ้า แต่มนุษยชาติทั้งหมดด้วย เพราะว่าพระเจ้าได้สร้างหิน พืช สัตว์ และแม้แต่มนุษยชาติทั้งสิ้น ด้วยเหตุผลนี้ ผู้คนของโลกแบกเอาความรับผิดชอบเช่นเดียวกันนี้เหมือนกับคนของพระคัมภีร์เดิม ผู้สร้างและเจ้าของตัวเราต้องการเข้ามาสู่หัวใจและบ้านของเรา ดังนั้นใครเล่าจะต้อนรับพระองค์ คุณเป็นของพระเจ้า คุณวางตนเองไว้ที่ภาชนะรองรับของพระเจ้าหรือไม่ โชคร้ายที่วันนี้ชนชาติส่วนใหญ่ไม่เปิดตนเองต่อแสงสว่างของพระคริสต์ พวกเขาไม่ต้องการมิตรภาพแห่งแสงนั้นเพื่อเอาชนะความยากลำบากแห่งความมืด ด้วยเหตุนี้ เขาได้ปฏิเสธบุตรแห่งพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งในยุคของเรานี่เอง
ใครก็ตามที่เป็นลูกหลานของอับราฮัมหรือของมนุษยชาติโดยทั่วไปจะเปิดหัวใจของเขาต่อพระคริสต์และมอบอุทิศตนให้อยู่ในมือของพระผู้ช่วยให้รอดซึ่งมีฤทธิ์เดชและผู้นั้นจะประสบกับการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่เพราะว่าแสงสว่างแห่งสวรรค์จะให้ความรู้แก่เขา และเขาจะเอาชนะความมืดที่เข้าอยู่ในหัวใจ ยิ่งกว่านั้น ฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะเข้ามาในหัวใจและตบแต่งใหม่ภายในตัวคุณอย่างลึกที่สุด พระคริสต์ได้ปลดปล่อยคุณจากการเป็นทาสบาป และจะย้ายคุณไปสู่อิสรภาพของพระบุตรพระเจ้า ถ้าคุณรักพระคริสต์แล้วล่ะก็ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าอยู่ในคุณ และเริ่มการงานแห่งความรอดในชีวิตของคุณ
ตอนนี้ ยอห์นผู้ประกาศไม่ได้กล่าวว่าเราจะกลายเป็น หรือเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว แต่ขณะนี้เราเป็นลูกของพระองค์ที่กำลังเติบโตฝ่ายวิญญาณอยู่ เราจะพบกันสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติสองประการ เพราะว่าผู้ที่เชื่อในพระคริสต์ในด้านหนึ่งนั้นเข้ามาสู่ชีวิตใหม่แล้วแต่อีกด้านหนึ่งเขาเริ่มต้นขบวนการเติบโตที่พัฒนาเช่นกันอันจะนำไปสู่ความสมบูรณ์ในชีวิตฝ่ายวิญญาณ ฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้สร้างเราให้เป็นคนใหม่และฤทธิ์เดชนี้เองชำระและทำให้เราสมบูรณ์ดีเลิศอีกด้วย
เราไม่ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้าเพียงแต่เป็นบุตรบุญธรรม แต่เรากลายเป็นลูกด้วยการถือกำเนิดฝ่ายวิญญาณนั่นเอง การเสด็จลงมาของพระวิญญาณของพระคริสต์สู่หัวใจของเรา หมายความว่าเราถูกเติมเต็มด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า การไหลล้นของสิทธิอำนาจของพระเจ้าเข้ามาสู่ผู้เชื่อ ได้ชี้สู่ความจริงว่าไม่มีอำนาจในโลกนี้ หรือ ในยุคสุดท้าย สามารถที่จะขวางการเติมเต็มลักษณะทางศีลธรรมที่เป็นของพระเจ้าได้ พระคริสต์เป็นเบื้องต้นของความเชื่อและเป็นผู้ทำให้ดีเลิศสมบูรณ์
ลูกของพระเจ้าและลูกของโลกนี้ ไม่สามารถจะเปรียบเทียบกันได้ เราได้ถือกำเนิดจากพ่อแม่สองแบบ ผู้ที่ให้กำเนิดเราโดยแรงขับตามธรรมชาติ หรือโดยแผนงานที่ตั้งใจ พวกเขาอาจจะอธิษฐานด้วยกันเชื่อฟังการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่มรดกฝ่ายกายจิตใจ และวิญญาณทั้งหมดจากพ่อแม่ของเราไม่มีความสัมพันธ์ต่อการกำเนิดใหม่ที่มาจากพระเจ้า และการกำเนิดใหม่ฝ่ายวิญญาณนั้นบริสุทธิ์จากการเริ่มต้นและที่เรามาจากพระองค์ คือจากผู้ที่คริสเตียนถือกำเนิดมาโดยตรง เพราะพระองค์เป็นบิดาฝ่ายวิญญาณที่แท้จริงของเรานั่นเอง
ไม่มีเด็กคนใดสามารถถือกำเนิดด้วยตนเองได้ แต่ต้องมีคนให้กำเนิด และด้วยลักษณะเช่นนี้ การกำเนิดฝ่ายวิญญาณของเราจึงเป็นพระคุณอันบริสุทธิ์ พระคริสต์ได้วางเมล็ดพันธุ์ของพระกิตติคุณในหัวใจของเรา ใครก็ตามที่รักเมล็ดพันธุ์นี้ ยอมรับและรักษามันไว้ ชีวิตนิรันดร์ของพระองค์จะเติบโตในเขา ผู้คนเหล่านี้ที่ได้ยินพระคำของพระเจ้าและรักษามันไว้จะได้รับการอวยพร
การถือกำเนิดมาในครอบครัวคริสเตียนและเกี่ยวพันกับคริสเตียนไม่ได้ทำให้เราเป็นลูกของพระเจ้า แต่ว่าความเชื่อในนามของพระคริสต์ต่างหาก ความเชื่อหมายความว่าเราเข้ามาใกล้พระองค์ ง่วนอยู่ในคุณลักษณะของพระองค์ และเข้าใจความอ่อนโยนและการเติบโตขึ้น โดยพึ่งพาฤทธิ์อำนาจของพระองค์เราเติบโตเฉกเช่นนี้จนกระทั่งอุทิศตนเองอยู่ในมือของพระองค์ โดยเชื่อว่าพระองค์จะช่วยให้รอดและเปลี่ยนเราให้เหมือนกับพระองค์ ความเชื่อในพระคริสต์นี้เป็นความสัมพันธ์ในความรู้สึกของหัวใจระหว่างเรากับพระองค์เป็นพันธสัญญาแห่งนิรันดร์ การกำเนิดฝ่ายวิญญาณจะไม่สำเร็จได้ในเรายกเว้นผ่านทางความเชื่อนี้ เพื่อว่าเราจะสามารถกล่าวได้ว่า การที่เราเกิดใหม่นี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่า หรือ ยากยิ่งกว่าการมีความเชื่อ เหมือนกับการมีความเชื่อนั้นไม่ได้ด้อยกว่าหรือง่ายกว่าที่เราจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้ แต่มันก็คือสิ่งเดียวกันนั่นเอง
ยอห์นผู้ประกาศไม่ได้เอ่ยพระนามของพระเยซูคริสต์ในพระกิตติคุณ ก่อนหน้ามาถึงในบทนี้ แทนที่จะกระทำเช่นนั้น เขาพรรณนาถึงบุคลิกภาพของพระองค์ให้กับผู้เชื่อที่มาจากชนชาติทั้งหลายฟัง โดยใช้คำที่ใกล้เคียงต่อวิธีคิดของพวกเขา คุณเข้าใจความหมายหกประการจากคุณลักษณะเหล่านี้ของพระคริสต์หรือไม่ ที่ผู้ประกาศวางไว้ข้างหน้าต่อคริสตจักรของพระองค์ คุณเปิดใจไหมต่อฤทธิ์เดชของลักษณะเหล่านี้ และคุณโค้งคำนับให้กับสิ่งนี้หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วคุณจะกลายเป็นบุตรพระเจ้าอย่างแท้จริง
คำอธิษฐาน: พระเยซูคริสต์ ข้าพระองค์ก้มกราบต่อพระองค์ และรักพระองค์ และเปิดหัวใจของข้าพระองค์ต่อพระองค์ พระองค์เข้ามาหาข้าพระองค์ทั้ง ๆ ที่ข้าพระองค์มีบาป พระองค์ชำระข้าพระองค์จากการล่วงละเมิดทั้งหมด และเข้ามาอยู่ในชีวิตของข้าพระองค์ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าแต่พระเจ้าข้าพระองค์ขอเปิดประตูใจของข้าพระองค์ออกกว้างต่อพระองค์
คำถามที่:
- อะไรเกิดขึ้นสำหรับผู้ต้อนรับพระคริสต์