Previous Lesson -- Next Lesson
4. พระเยซูยื่นข้อเสนอให้กับประชาชนที่จะ “รับหรือปฏิเสธ” (ยอห์น 6:22-59)
ยอห์น 6:41-42
41 แล้วพวกยิวจึงเริ่มพากันบ่นเกี่ยวกับพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์” 42 พวกเขาพูดว่า “นี่คือเยซูลูกชายของโยเซฟไม่ใช่หรือ? เราก็รู้จักพ่อแม่ของเขา เขาพูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์’?”
ยอห์นได้เรียกพวกยิวที่อยู่ในกาลิลีเข้ามาแม้ว่าพวกเขาจะไม่อยู่ในกลุ่มคนพวกนี้ แต่ในขณะที่พวกเขาปฏิเสธพระวิญญาณของพระคริสต์ เขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกยิว และพวกซึ่งมีที่อยู่ทางตอนใต้เลย
พวกอาลักษณ์ได้ให้เหตุผลอีกอันหนึ่งกับพวกเขาเพื่อที่จะปฏิเสธพระเยซู เพราะว่าความคิดและความเชื่อตามกฎบัญญัติของพวกเขาในการปฏิรูปตนเองนั้นขัดแย้งกับความรักของพระเยซู แต่พวกกาลิลีสะดุดเรื่องทางสังคมของพระองค์ เพราะพวกเขารู้จักครอบครัวของพระองค์เนื่องจาก “บิดาของเขา” (ช่างไม้ที่ชื่อโยเซฟ) ได้อาศัยอยู่กับพวกกาลิลี คนนี้เป็นชายธรรมดา ไม่มีความสามารถในการพยากรณ์หรือของประทานพิเศษอะไรเลย และมารดาของเขาที่ชื่อมารีย์ก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น ยกเว้นแต่ว่าเธอเป็นหม้าย ซึ่งพิจารณาเป็นสัญญาณว่าพระเจ้าโกรธเคือง ดังนั้น ชาวกาลิลีจึงไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นขนมปังจากสวรรค์
ยอห์น 6:43-46
43 พระเยซูตรัสตอบว่า“หยุดบ่นกันได้แล้ว 44 ไม่มีใครมาหาเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามานั้นทรงชักนำเขามาหาเราและเราจะให้เขาเป็นขึ้นในวันสุดท้าย 45 มีเขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะว่า‘เขาทั้งหลายจะรับการสอนจากพระเจ้า’[d] ทุกคนที่ฟังพระบิดาและเรียนรู้จากพระองค์ก็มาหาเรา 46 ไม่มีใครได้เห็นพระบิดาเว้นแต่ผู้ซึ่งมาจากพระเจ้าเท่านั้นที่ได้เห็นพระบิดา
พระเยซูไม่ได้พยายามอธิบายอัศจรรย์ของการถือกำเนิดของพระองค์ต่อผู้ที่ปฏิเสธพระองค์ เพราะว่าเขาก็จะไม่เชื่ออยู่ดี เราเองก็จะไม่สามารถรู้ได้เกี่ยวกับพระเจ้าในพระเยซูที่เป็นบุคคล แต่โดยแสงสว่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ใครก็ตามที่เข้ามาหาพระองค์ในความเชื่อ จะเห็นพระเจ้าและรู้ถึงความจริงที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์นั่นเอง
พระเยซูได้สั่งห้ามฝูงชนไม่ให้บ่นพึมพำถึงการเปิดเผยของสวรรค์ วิญญาณแห่งความดื้อดึงจะไม่ได้ยินอะไรเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า แต่ผู้เชื่อฟังจะรู้สึกถึงความจำเป็นที่ตนเองต้องมีประสบการณ์ในความรักของพระองค์
พระเจ้าในความรักนี้ได้ทำให้ฝูงชนเข้ามาใกล้พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ปรารถนาที่จะเป็นแสงสว่างและสอนพวกเขาเป็นรายบุคล ขณะที่เราอ่านในเยเรมีห์ 31:3 ในพระคัมภีร์ใหม่นั่นไม่ใช่ความต้องการของมนุษย์ หรือความคิดที่จะนำความเชื่อเข้ามาได้ แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์มากกว่าที่จะส่องสว่างให้กับเรา และสร้างชีวิตสวรรค์สำหรับเรา เพื่อให้ตระหนักถึงพระเจ้าผู้มีฤทธานุภาพ ซึ่งเป็นพระเจ้าและพระบิดาของเราอย่างแท้จริง พระองค์สอนลูก ๆ และรักษาควาสัมพันธ์โดยตรง พระองค์สร้างความเชื่อในหัวใจของเรา ผ่านทางการทรงเรียกของพระวิญญาณ คุณรู้สึกถึงการทรงเรียกนี้ในความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคุณหรือไม่ คุณเปิดกับการเคลื่อนไหวของความรักนั้นหรือไม่
พระวิญญาณของพระบิดานำเราไปยังพระเยซู และเคลื่อนเราไปหาพระองค์ พระองค์ปลุกเร้าความปรารถนาของเราที่มีต่อพระองค์ และให้เรามาพบกับพระเยซูและรักพระองค์ พระองค์ยอมรับเราอย่างที่เราเป็น และไม่ไล่เราออกไป แต่กลับให้ชีวิตนิรันดร์เพื่อว่าเราจะแบ่งปันในฤทธิ์เดชการฟื้นคืนพระชนม์เพื่อเข้าสู่สง่าราศรีของพระบิดาได้
อย่างไรก็ตาม นี่ยังคงเป็นความแตกต่างระหว่างพระเยซู และผู้เชื่อที่เป็นผู้บังเกิดใหม่ ไม่มีผู้ใดได้เห็นพระเจ้านอกจากพระบุตร พระเยซูเป็นพระบิดาตั้งแต่เริ่มต้นและได้เห็นพระบิดา พระบิดาและพระบุตรแยกออกจากกันไม่ได้ และพระเยซูยังได้แบ่งปันสันติสุขของสวรรค์ และคุณลักษณะที่เป็นของสวรรค์ทั้งสิ้นอีกด้วย
ยอห์น 6:47-50
47 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ที่เชื่อก็มีชีวิตนิรันดร์ 48 เราเป็นอาหารแห่งชีวิต 49 บรรพบุรุษของท่านได้กินมานาในถิ่นกันดารถึงกระนั้นพวกเขาก็ตาย 50 แต่นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ซึ่งคนใดได้กินแล้วจะไม่ตาย 51 เราเป็นอาหารซึ่งให้ชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ถ้าผู้ใดได้กินอาหารนี้ผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปอาหารนี้คือเนื้อ[e]ของเราซึ่งเราจะให้เพื่อโลกนี้จะได้มีชีวิต”
หลังจากการประกาศความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดา และการงานของพระวิญญาณให้กับผู้ฟังแล้ว อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูนำเสนอความจริงในแก่นสาร เพื่อพวกเขาจะไว้วางใจพระองค์ พระองค์ได้อธิบายถึงหลักการคริสเตียนสั้น ๆ ว่า ผู้ที่เชื่อพระเยซูมีชีวิตอยู่ตลอดกาล ความจริงในข้อนี้เป็นการประกันว่าความตายไม่สามารถลบชีวิตนิรันดร์ทิ้งได้นั่นเอง
พระเยซูเหมือนกับขนมปังจากพระเจ้าที่มาสู่โลกนี้ เหมือนกับขนมปังที่ไม่ขาดเมื่อมันผ่านมือของพระองค์ในอัศจรรย์ที่เลี้ยงดูคนห้าพันคน ดังนั้น พระเยซูก็เช่นกันมีเพียงพอสำหรับความจำเป็นของโลกตลอดเวลา เพราะในพระองค์ความเต็มบริบูรณ์ของพระเจ้ายังคงพักอาศัยอยู่และจากพระองค์คุณได้รับความหวัง ความปิติ และพระพรทั้งสิ้น อีกคำพูดหนึ่งก็คือ พระองค์ได้มอบโลกของชีวิตพระเจ้าไว้ให้แล้ว กระนั้นโลกก็ยังปฏิเสธพระองค์
มานาที่กำลังเข้ามาสู่ถิ่นทุรกันดารเป็นของขวัญจากพระเจ้า การตระเตรียมนี้มีอายุสั้น ๆ ผู้คนทั้งหมดที่กินมันได้ตายไปแล้ว ดังนั้น เราเห็นการงานที่เป็นการกุศล เป็นการพัฒนาทางเทคนิค และเป็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ที่พวกเขากระทำสักครู่หนึ่งและเป็นบางส่วน ไม่มีการรักษาความตายในลักษณะเหล่านี้ หรือ ชัยชนะเหนือความบาปได้แต่ใครก็ตามที่ยอมรับพระคริสต์จะไม่ตาย นี่เป็นจุดมุ่งหมายของพระคริสต์ ที่เข้ามาและอาศัยอยู่ในคุณ พระองค์ปรารถนาที่จะอาศัยในคุณเป็นการส่วนตัว เพื่อว่าจะไม่มีวิญญาณใดครอบครองเหนือคุณได้ พระองค์สามารถใส่ความปรารถนาชั่ว และทำให้ความกลัวสงบลง พอ ๆ กับสร้างความเข้มแข็งให้กับความอ่อนแอของคุณ พระองค์เป็นขนมปังของพระเจ้าที่ได้รับการแต่งตั้งมาเพื่อคุณ จงกินและมีชีวิตอยู่ คุณจะไม่ตายเหมือนคนบาปอื่น ๆ
คำถามที่:
- พระเยซูตอบสนองต่อเสียงบ่นพึมพำของคนทีมาฟังพระองค์อย่างไร